การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินแม้เวลานี้เงื่อนไขจะดูเข้มงวดขึ้นแต่ก็ไม่ใช่ว่าธนาคารจะไม่ปล่อยสินเชื่อเอาเสียเลย
ตรงกันข้าม ธนาคารนั้นมีอัตราการแข่งขันกันสูงขึ้นเพื่อปล่อยกู้ให้กับผู้ที่ธนาคารเห็นว่ามีเครดิตที่ดีพร้อมตามเกณฑ์ที่ธนาคารตั้งไว้ ปกติคนส่วนใหญ่ยัง
จำเป็นต้องใช้แหล่งเงินจากธนาคารในการซื้อบ้าน การขอสินเชื่อหรือกู้เงินจึงเป็นเรื่องสำคัญขั้นตอนหนึ่งในการซื้อบ้านเลยทีเดียว
การจะขอสินเชื่อจากธนาคารจึงควรที่จะต้องมีเครดิตที่ดี ไม่ติดบัญชีดำของศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือเครดิตบูโรที่ผู้ซื้อบ้านควร
จะตรวจเช็คข้อมูลก่อนที่คิดจะซื้อบ้าน
เรื่องสำคัญอีกเรื่อง คือ การซื้อบ้านควรจะต้องมีเงินออม เพราะธนาคารส่วนใหญ่จะไม่ปล่อยกู้เต็มจำนวนของราคาซื้อขาย
ปกติจะให้สินเชื่ออยู่ที่ 70-90% ส่วนต่างที่เหลือ ผู้ซื้อบ้านจึงจำเป็นต้องมีเงินออม เพื่อใช้จ่ายในการซื้อบ้านและเป็นข้อมูลที่
ธนาคารใช้พิจารณาเครดิตของคนขอสินเชื่อบ้านด้วย
ก่อนที่จะซื้อบ้านและกู้เงินจะต้องประเมินกำลังซื้อของตัวเองจากรายได้ที่มีอยู่ทั้งของตัวเองและของครอบครัวว่าสามารถซื้อบ้านได้ในราคาเท่าไร การประเมินกำลังซื้อบ้านและการขอสินเชื่อสามารถขอคำปรึกษากับธนาคารได้ หรืออาจใช้เครื่องคำนวณอัตโนมัติที่มีให้
บริการอยู่ในหลายเว็บไซด์ก็สามารถประเมินค่าเงินได้ในเบื้องต้น
ข้อแนะนำ:
การพิจารณาสินเชื่อของธนาคาร
การพิจาณาอนุมัติเงินกู้ของสถาบันการเงินแต่ละแห่งอาจใช้เวลาเร็วช้าต่างกัน แต่โดยทั่วไปแล้วการยื่นกู้
จนถึงอนุมัติให้กู้ของสถาบันการเงินในปัจจุบันจะใช้เวลาประมาณ10-20วันทำการโดยจะมีขั้นตอนการพิจารณาที่คล้ายคลึงกัน ผู้กู้จะต้องติดต่อขอแบบฟอร์มและยื่นความจำนงขอกู้พร้อมทั้งนำหลักฐานประกอบการขอกู้ให้ครบตามที่ธนาคารกำหนด
จากนั้นในการยื่นกู้สถาบันการเงินจะเก็บค่าธรรมเนียมประเมินราคา
หลักประกัน
สถาบันการเงินจะทำการสำรวจและประเมินราคาบ้านและที่ดินที่จะนำมาเป็นหลักประกัน ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2-5 วัน
จากนั้นจะพิจารณาคำขอกู้โดยวิเคราะห์รายได้และหลักประกันของผู้กู้รวมทั้งปัจจัยอื่นๆและจะแจ้งผลการขอกู้ทรัพย์ที่ผู้กู้นำมาเป็นหลักประกัน ในกรณีที่ผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ก็สามารถบังคับเอาจากหลักประกันได้
วงเงินกู้และระยะเวลาที่ขอกู้
เมื่อผู้ซื้อบ้านคิดจะกู้เงินมักคิดตั้งคำถามกับตนเองเสมอว่าจะกู้ในระยะเวลานานแค่ไหนซึ่งโดยทั่วไปธนาคารจะให้กู้ตั้งแต่5-30ปี
การตัดสินใจตรงนี้จะขึ้นอยู่กับวงเงินกู้ และความสามารถในการผ่อนชำระเงินกู้ของผู้กู้ เพราะหากผู้กู้ต้องการวงเงินกู้สูงแต่ความสามารถในการผ่อนชำระค่อนข้างต่ำ
จึงจำเป็นต้องขยายเวลาออกไปให้นานที่สุดเป็น 25-30 ปี เพื่อที่จะให้เงินงวดลดลงจนถึงจุดที่สามารถผ่อนชำระได้เพราะในวงเงินกู้เท่ากัน
อัตราดอกเบี้ยเท่ากันยิ่งใช้เวลาผ่อนนานมากขึ้น
เงินงวด
โดยทั่วไปวงเงินกู้ที่สถาบันการเงินให้กู้จะอยู่ที่ประมาณ70-80%ของราคาประเมินหรือราคาซื้อขาย
แต่ในปัจจุบันตลาดมีการแข่งขันสูง สถาบันการเงินทำข้อตกลงกับโครงการจัดสรรหรือโครงการที่ธนาคารให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน ธนาคารอาจจะให้วงเงินกู้สูงถึง
90-100% ของราคาประเมินหรือราคาซื้อขาย ส่วนระยะเวลากู้ธนาคารมักกำหนดระยะเวลากู้นานสูงสุดประมาณ15-30ปี
(ขึ้นอยู่กับหลักทรัพย์ที่นำมาค้ำประกัน) แต่ธนาคารส่วนใหญ่มักกำหนดให้ระยะเวลากู้เมื่อรวมกับอายุผู้กู้แล้วต้องไม่เกิน 65-70 ปี เช่น
อายุ 40 ปี จะกู้ได้สูงสุด 30 ปี เป็นต้น
สำหรับผู้กู้ที่มีกำลังผ่อนในปัจจุบันในระยะเวลา 15 ปีหรือ 20 ปี หากคาดการณ์ว่าในอีก 2-3
ปีข้างหน้าภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวจะสูงขึ้นจะทำให้มีปัญหาการผ่อนชำระได้อาจจะขยายระยะเวลากู้เป็น25-30ปีก็เป็นได้เพื่อเงินงวดที่ผ่อนต่อเดือนน้อยที่สุด เพราะในภายหลังเมื่อครอบครัวมีรายได้เพิ่มขึ้นก็สามารถชำระเงินงวดเพิ่มขึ้นจากที่กำหนดไว้เดิมได้ เช่น เดิมผ่อนเดือนละ 8,000 บาท
ก็อาจจะเพิ่มเป็นเดือนละ 10,000 บาท หรือมากกว่าก็ได้ซึ่งจะทำให้หนี้เงินกู้หมดเร็วขึ้น
ดังนั้นเงินกู้ตามสัญญาเดิม25ปีก็อาจจะผ่อนหมดในเวลาสั้นลงเหลือเพียงประมาณ10ปีแต่จะกู้ได้นานสูงสุดกี่ปีนั้นจะขึ้นอยู่กับอายุของผู้กู้ด้วย โดยธนาคารส่วนใหญ่จะกำหนดว่าเมื่อรวมอายุของผู้กู้บวกกับระยะเวลากู้แล้วต้องไม่เกิน60หรือ70ปีขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันการเงินจะกำหนด
ยกตัวอย่างเช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้กำหนดอายุของผู้กู้ เมื่อรวมกับระยะเวลากู้ ต้องไม่เกิน 70 ปี เพราะฉะนั้นถ้าผู้กู้อายุ 50 ปี
จะสามารถกู้ได้ยาวที่สุดเพียง 70-50 = 20 ปีเท่านั้น แต่กู้สั้นหรือยาวนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ของผู้กู้เป็นหลัก
หากกู้ระยะเวลาสั้นผู้กู้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยมาก แต่ต้องจ่ายเงินงวดต่อเดือนสูง
อย่างไรก็ตามหากผู้กู้มีรายได้น้อยในปีแรกๆ หรือต้องการผ่อนสบายๆเมื่อมีรายได้มากขึ้นก็ค่อยโปะภายหลังก็ได้หรืออาจขอกู้ระยะเวลานานจะดีกว่า